RSS

Tag Archives: สก๊อตแลนด์

สก๊อตทริป ตอนที่ ๑๐ คนระหว่างทางสำคัญสำหรับการเดินทางที่มีความหมาย

การเขียนเล่าเรื่องราว ทริปที่ไปสก๊อตแลนด์ ใช้เวลานานมากมาย หวังว่าจะสามารถขมวดปลายลงได้ในครั้งนี้

เรื่องราวหลังจากกลับมาจากเซนต์แอนดรูวส์ก็ไม่มีอะไรมาก
มาเดินเที่ยวที่ดันดี ช่วงบ่าย แล้วก็กลับไปกินข้าว นอน ที่โฮสเทล วันต่อมาก็เก็บของเตรียมไปนอนที่เอดินเบอระหนึ่งคืนก่อนกลับเคมบริดจ์ในอีกวัน

ที่เอดินเบอระนี้ เราจะนอนที่วัดไทยครับ ชื่อวัด “ธรรมปทีป” กรุงเอดินเบอระ

ฝากรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเมืองดันดีให้ดูชมกันนะ

เนื่องจากเมืองดันดีเป็นเมืองอุตสาหกรรมเก่า จึงเห็นโรงงาน โกดัง อยู่ในเมืองเต็มไปหมด สำหรับเมืองดันดี เป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของสก๊อตแลนด์ ประชากรเท่า ๆ เคมบริดจ์ คือประมาณ แสนกว่าคน


มีเรือชื่อ Discovery จอดอยู่ริมแม่น้ำ


City Square จัตุรัส กลางเมืองดันดี


ห้างโอเวอร์เกต เจ้าปัญหาในตอนแรก ตอนบอกทางมาที่โฮสเทล


ที่โฮสเทลเป็นแบบแปดเตียง แต่ว่าทั้งสองคืน ไม่มีใครมานอนเลย เลยนอนคนเดียว สบายแฮ นี่เพิ่งเก็บเตียงใหม่ๆ

ไฮสตรีท เมืองดันดี มองจากห้องพัก และกระจกที่ขุ่นมัว มองเห็น จัตุรัสตรงมุม ฝนตกปรอย ๆ พอเป็นกระสาย


อกจากโฮสเทลมาที่สถานีรถไฟเมืองดันดีครับ ฟ้าแจ่มใสเชียว (เวลาเดินทาง อย่างที่บอก)


กลับเอดินเบอระ


สวัสดี สก๊อตเรลล์ คลาส ๑๗๐ คงได้พบกันอีก

ตอนที่ออกมาจากรถไฟ เห็นตำรวจเต็มไปหมด
สงสัยอยู่ แต่มารู้ทีหลังว่า วันนี้จะมีการประท้วง ของกลุ่มที่สนับสนุนการแสดงออกทางศาสนาของมุสลิม และกลุ่มต่อต้าน เพื่อความสงบเรียบร้อย ตำรวจจึงตรึงกำลัง เผื่อมีการปะทะ
ออกมาจากสถานีรถไฟ นั่งรถเมล์ท้องถิ่นของที่นี่ (ต้องเตรียมเหรียญให้พอดี ไม่งั้นไม่มีทอน)
จะเห็นเอกลักษณ์ของสก๊อตแลนด์ทันที นั่นคือ “ลายสก๊อต” ครับ


สำหรับเรา ถ้าไม่ได้เห็นลายสก๊อตแบบนี้ ถือว่ามาไม่ถึงสก๊อตแลนด์

นี่คือภายในวัดธรรมปทีป เอดินเบอระครับ

ได้ร่วมปฏิบัติธรรมกับพระสงฆ์ที่นี่ด้วย ขอเรียกท่านว่า พระอาจารย์ละกัน เพราะ ท่านได้ตอบคำถามเราหลายข้ออยู่
การปฏิบัติธรรมที่นี่ ใครมาพัก ก็ขอสนับสนุนให้พยายามอยู่ทำวัตรเย็น หรือเช้า จะได้นั่งสมาธิ สวดมนต์ สงบจิตใจด้วย
ส่วนการมาพัก ก็ฟรีครับ แล้วแต่ศรัทธาในการทำบุญช่วยเหลือ ค่าน้ำค่าไฟ หรือสังฆทาน ที่วัดมีห้องน้ำ มีผ้าห่ม กับหมอนให้ครบ
ถือว่าเป็นการปิดทริปที่ไม่เหมือนทุกครั้ง และรู้สึกดีไปอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียวครับ

ขอขอบคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยอำนวยพรให้เราเดินทางปลอดภัย คุณแม่ผู้ให้กำเนิดที่ให้โอกาสเราออกไปหาประสบการณ์ คุณพ่อผู้ล่วงลับที่เป็นผู้จุดประกาย และช่วยคุ้มครองตลอด ตลอดจน “คนระหว่างทาง” ทุก ๆ คน ที่สำคัญเสมอ สำหรับการเดินทางที่มีความหมาย
เอดินเบอระ:
พนักงานต้อนรับที่ Budget Backpackers เอดินเบอระ, สาวฝรั่งเศสสามคน, โย เพื่อนนักเรียนทุนที่เอดินเบอระ, ไกด์ Ghost Tour, ชายแปลกหน้าที่จะพยายามให้เราเอามือถือออกมา, นักเรียนโรงเรียนภาษาจาก Eastbourne ที่มีทั้งเกาหลี สเปน ซีเรีย ญี่ปุ่น ชวนเราเล่นไพ่เฮฮายามดึก, คนพม่าและเพื่อนที่แนะนำหนังฮาเก่า ๆ เรื่องหนึ่ง, พระอาจารย์ที่วัดไทยที่เอดินเบอระ, คุณตำรวจที่มาดูแลความปลอดภัยที่วัดไทย, คุณป้าที่มาพักที่วัดเหมือนกัน

กลาสโกว์:
พนักงานที่โฮสเทล, น้องชายชาวออสเตรเลีย, คุณลุงออสเตรียที่พูดไม่ได้, พี่ฝรั่งเศสมากับแฟน, เพื่อนใหม่คนเยอรมันที่เรียนจะจบแล้วเลยแวะเที่ยวตามเมืองต่าง ๆ ที่ละหนึ่ง-สองคืน, คุณอาชาวอเมริกันจากอะลาสกาที่เป็นเพื่อนนั่งกินข้าว, พี่สาวมุสลิมที่ให้ความรู้เรื่องรถเมล์ที่กลาสโกว์, คุณลุงบนรถเมล์ที่ห่วงใยเมื่อเห็นเรานั่งกางแผนที่บนรถเมล์, คุณอาที่บอกทางริมถนน, คุณลุงที่ป้ายรถเมล์ที่บอกว่าเดินเอาดีกว่า เพราะรอรถเมล์มันนาน, คุณอาชาวอังกฤษสองคน ที่แปลกใจเมื่อเห็นเราถ่ายรูปอาหารเช้าและเป็นเพื่อนคุย, มิสชันนะรีคริสต์

อะเบอร์ดีน:
พี่ป่านแก้ว และปุ้ย สองสาวนักเรียนทุนเป็นเพื่อนร่วมเที่ยว ที่อะเบอร์ดีน, คุณลุงเนเธอร์แลนด์ที่นั่งเรือจากสก๊อตแลนด์กลับประเทศ, หนุ่มฝรั่งเศสสองคน, พนักงานที่ร้าน Ma Camerons, พนักงานโฮสเทล

ดันดี:
พนักงานต้อนรับที่โฮสเทล, เจ้าหน้าที่ที่พิพิธภัณฑ์กอล์ฟ ที่เซนต์แอนดรูวส์, ชาวมุสลิมที่บอกทางจากห้างโอเวอร์เกต, คู่หนุ่มสาวชาวแคนาดาผู้หลงใหลในประเทศไทยและชวนไปเล่นบิงโก, พี่สาวลัตเวียนั่งคุยตอนกินข้าว, สาวออสเตรเลียที่คิดจะไปสมัครเป็นทหารเรือ, คู่สามีภรรยาชาวสิงคโปร์, อาคนอังกฤษ ที่ร่วมมือกับชาวสิงคโปร์ พยายามชักชวนให้เราเปลี่ยนศาสนา

ขอขอบคุณคนระหว่างทางเหล่านี้ และที่ยังไม่ได้เอ่ยชื่อ ที่ทำให้การเดินทางมีรสชาติ และสมบูรณ์อย่างไม่เหมือนใคร และให้มาเหมือนเดิมอีก ก็คงไม่เหมือน

ขอจบ สก๊อตทริปเพียงเท่านี้
โปรดติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ได้ในครั้งต่อไปนะครับ

 

ป้ายกำกับ: , , , , ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๘

มาถึงที่อะเบอร์ดีน เวลาประมาณ ๔ โมง เดินไปที่ ห้าง Union Square ซึ่งมีทางเดินต่อไป เพื่อขึ้นรถเมล์ เอาของไปเก็บที่โฮสเทล
ตามที่จดมา ต้องขึ้นรถเมล์สาย ๒๗, ๒๑๐ หรือ ๒๑๕ เราก็ไปรอขึ้นที่ชานชาลา สำหรับสาย ๒๑๕

รออยู่นานเหมือนกัน สาย ๒๑๕ ก็ยังไม่มาซักที

เอ้า นั่นไง สาย ๒๑๕ มาแล้ว แต่พอเข้าจอด เค้าเปลี่ยนเป็นสาย X๑๗ ซะงั้น!
ด้วยความงง ปนความเมื่อย เลยเดินไปถามคนคุมท่ารถ
เอาแผนที่ให้ดู เค้าบอก ให้ขึ้นสาย X๑๗ นี่แหละ ผ่านโฮสเทล
คนแน่นรถอยู่ทีเดียว เอากระเป๋าเดินทางใบน้อยวางที่วางของหน้ารถแล้วก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ คนขับด้วยใจตึกตัก… บอกคนขับไว้ว่า ถ้าถึงแล้วช่วยบอกด้วย

มาถึงที่ถนนตรงโฮสเทล ลงมาแล้ว เดินงง ๆ ไปมาอยู่แป๊บนึง เพราะป้ายมันเขียนว่า Hostel ก็จริง แต่มันมืดแล้ว มองไม่เห็นว่าอยู่ไหน ถามคนแถวนั้น ปรากฏว่าอยู่ฝั่งตรงข้าม

เอาของเก็บ แล้วมาอุ่นกับข้าวกินที่ห้องครัวด้านล่าง เดี๋ยวคืนนี้ จะมี ผู้ร่วมเที่ยวมาอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่ผู้หญิง “พี่ป่านแก้ว”  อีกคนเป็นเพื่อนผู้หญิงมาทุนปีเดียวกัน “ปุ้ย” ทั้งสอง ไปทัศนศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ แล้วก็ตกลงว่าจะมาเที่ยวที่อะเบอร์ดีนกันหนึ่งวัน ก่อนที่เค้าจะกลับลอนดอน ส่วนเรา ไปต่อที่ดันดี

กินข้าวเสร็จ นั่งคุยกับเพื่อนร่วมห้อง
คนหนึ่งเป็นคุณลุงวัยหลังเกษียณ จากเนเธอร์แลนด์  อีกคน เป็นคนฝรั่งเศส กำลังเรียนภาษาอังกฤษที่เมือง Stoke-on-Trent เรียนไปเพื่อจะหางานทำที่นี่
คุณลุงจะกลับเนเธอร์แลนด์วันรุ่งขึ้น ทางเรือ แกบอกว่า ต้องรีบตื่นแต่เช้า
ถ้าดูในแผนที่จะเห็นว่า จากสก๊อตแลนด์ มีเรือข้ามไปฝั่งยุโรปได้หลายแห่ง และจากสก๊อตแลนด์ ก็มีเรือไปไอร์แลนด์ทางตะวันตกได้อีก
นั่งคุยกันสักพัก เราก็ขอตัวออกมา นั่งรถเมล์ไปสถานีรถไฟ ไปรอรับสองสาว ที่จะมาจาก เซนต์แอนดรูวส์

เมื่อสองสาวมาถึง หิวกันมาก
เลยไปหาร้านกินข้าวกัน (แต่เราไม่ได้กินหรอก อิ่มแล้ว)
ได้ร้านอาหารอินเดีย ที่ให้ข้าวเยอะมาก ๆ ลองชิมที่พี่ป่านแก้วและปุ้ยกิน รสชาติเหมือนข้าวหมกไก่บ้านเรานี่เอง

กินกันจนอิ่ม ก็เดินกลับโฮสเทล ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ คาดว่าน่าจะไม่เกิน หนึ่ง หรือสององศาเท่านั้นเอง
มาถึงที่โฮสเทลก็ ห้าทุ่มกว่า ๆ ว่าจะไปนั่งอุ่น ๆ ที่ผับตรงข้าม แต่พอถามเจ้าหน้าที่โฮสเทล เค้าบอกว่าปิดแล้ว
ก็เลยมานั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นนอน ตอนเที่ยงคืนกว่า

ห้องเรา เค้าปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ย่อง ๆ เข้าไป เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็นอนเลย

ตื่นมาวันรุ่งขึ้น กินข้าว รอสองสาวลงมา ก่อนจะออกเดินทางกันตอนสิบโมง หิมะตกปรอย ๆ นั่งรถเมล์สาย ๒๐ ไป Old Aberdeen
ซึ่งเป็นส่วนของเมืองเก่า


ถนนหนทางในเมืองเก่า ของอะเบอร์ดีน


จะเห็นความเก่าใหม่ ผสมกันอย่างกลมกลืน เราว่านี่คือเสน่ห์ของอังกฤษ สก๊อตแลนด์ และน่าจะรวมถึงประเทศยุโรปอื่น ๆ (ไม่เคยไป)

ไปเดินเล่นในสวน Botanic Garden ซึ่งตอนหน้าหนาว ไม่มีดอกอะไรสวย ๆ ให้ดู…


ไปเดินเล่นถ่ายรูปที่ คิงส์คอลเลจ ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยอะเบอร์ดีน


ตึกเก่าแก่

เดินกันพอเมื่อย ก็นั่งรถสาย ๒๐ กลับมาหาข้าวกินที่ในเมือง พี่ป่านแก้ว อยากกินสเต็ก เลยถามเจ้าหน้าที่ที่โฮสเทลว่า สเต็กร้านไหนอร่อย
เค้าแนะนำว่าให้ไปที่ผับที่ชื่อ Ma Cameron’s


นี่คือ แฮกกิส (Haggis) อาหารพื้นเมืองของสก๊อตแลนด์ ทำจาก ปอด ตับ หัวใจ เครื่องในแกะ บดกับมัน… ฟังดูไม่ค่อยน่ากิน แต่จริงๆ  แล้ว ร้านนี้ทำอร่อยดี
ส่วนดำ ๆ นั่นแหละ คือส่วนที่มาจากแกะ ที่เหลือเป็นมันฝรั่ง เราก็ไม่ได้กินเยอะ เพราะกินไปคิดภาพไปแล้วมัน.. กินต่อไม่ลง มีคุกกี้ และซอส ไว้ราด


สเต็กของพี่ป่านแก้ว


แซลม่อนของเรา


ไก่อบ Balmoral และ แฮกกิส ของปุ้ย

นี่คงเป็นอาหารมื้อใหญ่ในหลาย ๆ วันของเรา เพราะส่วนใหญ่จะฝากท้องไว้กับ ซับเวย์ เทสโก้ และอาหารอุ่นไมโครเวฟ
ก็แหม อาหารแบบนี้มันแพงอยู่นะครับ


หน้าตาผับที่มากิน Ma Cameron’s

ประมาณสี่โมง เราก็แยกย้ายกัน เราไปต่อที่ดันดี ส่วนสองสาว กลับลอนดอน ด้วยรถนอนตอนดึก


นี่คือระหว่างทางไปดันดีครับ เห็นไหมว่า เวลาเดินทาง แดดออกดีตลอด


หิมะค่อนข้างขาวโพลน…


เห็นทุ่งที่พ้นฤดูเก็บเกี่ยว

คราวหน้ามาต่อกันกับเมือง ดันดี และเซนต์แอนดรูวส์ ต้นกำเนิดกีฬากอล์ฟครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป….

 
 

ป้ายกำกับ: , , ,

สก๊อตทริป -ระหว่างทาง-

มาโพสต์รูปวิวตอนขาไป เมืองอะเบอร์ดีนให้ดูกันก่อน เรื่องราวอื่น ๆ จะตามมาครับ

ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้โพสต์เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการติตตามสถานการณ์ที่เมืองไทยครับ


สถานี Glasgow Queen Street ครับ


รถไฟ Class 170 ของ ScotRail


ส่วนมากแล้ว เวลาเดินทาง ท้องฟ้าจะแจ่มใส เวลาลงเดินเที่ยว จะเริ่มครึ้มมาเลย


มีร่องรอยหิมะ ให้เห็นอยู่บ้างประปราย อีกไม่กี่วันถัดจากนี้ หิมะตกหนักเลยที่อะเบอร์ดีน

มาถึงที่อะเบอร์ดีนแล้ว

ติดตามตอนต่อไปนะครับบบ

 

ป้ายกำกับ: ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๗

กลับเข้ามาในเมืองกลาสโกว์หลังจากเดินในพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งมานาน
เริ่มหิวข้าวแล้ว วันนี้คาดว่าจะได้ใช้รถเมล์หลายเที่ยว เลยซื้อบัตรหนึ่งวันไม่จำกัดมาซะเลย
เดินเล่นในเมือง จนมาเจอ ถนนสายนี้ครับ Buchanan Street (บูคานัน สตรีท) เป็นถนนสายชอปปิ้งของเมืองกลาสโกว์เลย
แล้วก็ เป็นถนนคนเดินครับ เหมือนในรูป กว้าง และมีทางขึ้นลงรถใต้ดินอยู่ด้วย ถนนบางช่วงก็จะมีที่ขึ้นเนิน ได้บรรยากาศดีครับ

ข้าวกลางวันวันนี้ กินที่ร้าน Gregg’s ครับ ร้านนี้เป็นร้านที่ขายพวก พาย ร้อน ๆ ราคาไม่แพง อิ่ม และได้กินร้อน ๆ ด้วย

ที่กลาสโกว์มีสถาปนิกชื่อดัง อยู่คนหนึ่งครับ ชื่อคุณ McIntoch (แมคอินทอช) เค้าได้ออกแบบอาคาร หลายแห่งในกลาสโกว์ แผนที่นำเที่ยวต่าง ๆ ก็จะมีตัวอักษร M กำกับไว้ให้รู้ว่าตึกนี้ คุณแมคอินทอช ได้ออกแบบไว้ครับ
เราลองไปที่ตึก ที่ชื่อ The Lighthouse ครับ ซ่อนตัวอยู่ตามหลืบซอยของถนนบูคานันอันกว้าง ไกล
ปรากฏว่าตึกนี้เป็นตึกที่แสดงผลงาน ของคุณแมคอินทอชเค้า และเปิดให้ชมวิว เมืองกลาสโกว์ได้ ขึ้นลิฟต์ไปชั้นหก


อาจจะไม่สวยเหมือนเอดินเบอระ แต่ก็ให้อารมณ์อีกแบบหนึ่งครับ

เดินมาตามถนนเรื่อย ๆ เจอคนเป่าปี่สก๊อต เลยถ่ายรูปมาให้ดู ลองเทียบกับอีกคนที่เป่าที่เอดินเบอระนะครับ


ออกแนวทันสมัยกว่า

ออกจากเมือง เดินไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะทางศาสนาเซนต์มังโก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง

เมื่อมาเดิน ๆ เที่ยว ต่อกันหลาย ๆ วัน จะรู้สึกว่ากำลังขา มันลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด
วันแรก เหมือนอะดรีนาลีนมันหลั่งเค็มที่ เดินได้เดินดี ไม่มีเหนื่อย
พอตื่นมาวันที่สอง เอาละ เมื่อยไปหมด แต่ก็ยังพอมีแรง
วันต่อ ๆ มา เดินแป๊บนึงก็เมื่อย ก็เหนื่อย ต้องนักพัก และคงที่ไปจนถึงวันกลับ

เดินมาถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะศาสนา ก็เริ่มเหนื่อยมากแล้ว เดินชมผลงาน ไป และก็นั่งพักไปด้วย

พระพุทธรูป ก็มีครับ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะมาจากประเทศพม่า

พิพิธภัณฑ์นี้เป็นตึกไม่ใหญ่มาก มีประมาณสองชั้น เดินประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ทั่ว ที่นี่ อยู่ใกล้ ๆ กับ วิหารกลาสโกว์ครับ

เดินเข้าไปดูซักหน่อย

ภายในวิหารเมืองกลาสโกว์ครับ พอดีว่า เราไม่ค่อยมีความรู้ในด้านศิลปะ เท่าไหร่ และเคยไปมหาวิหารที่แคนเทอบิวรี่ มาเมื่อปีก่อน
เลยคิดว่าคล้าย ๆ กัน เลยไม่ได้เก็บรายละเอียดมากครับ

เดินดูพอหอมปากหอมคอ ก็ออกมา นั่งรถเมล์ แล้วเดินต่อมาที่นี่ครับ People’s Palace and Winter Garden เป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตผู้คนกลาสโกว์ และมีสวนไม้เมืองร้อน ครอบด้วยเรือนกระจก อยู่ต่อกัน


น้ำพุ และอาคารพิพิธภัณฑ์ อยู่กลางพื้นที่สีเขียวกว้างใหญ่

ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร ทำให้ไม่มีรูป ภายในพิพิธภัณฑ์มาให้ดู แต่มีรูป สวนเรือนกระจกมาแทนครับ


เรือนกระจกนี่ อุ่นดีมากครับ อุ่นกว่าในพิพิธภัณฑ์ที่มีฮีตเตอร์อีก เหมาะมาก นั่งเล่นอยู่พักใหญ่เลย หลังจากเดินจนเมื่อยแล้ว


ในบางส่วน ก็มีการจัดแบบญี่ปุ่นด้วย (ไม่รู้ว่าแบบญี่ปุ่นจริงหรือเปล่า หรือแค่เอาเครื่องประดับสวนแบบญี่ปุ่นมาตั้ง)


มีต้นกล้วยซึ่งไม่ค่อยเห็นในประเทศอังกฤษ


อันนี้เค้าเรียกดอกหน้าวัวรึเปล่าครับ?


มีดนตรีแจ๊สมาเล่นให้ฟังด้วย แต่เราเดินเข้าไปตอนเค้ากำลังเลิกเล่นแล้ว รูปนี้จะเห็นลักษณะของเรือนกระจกขนาดใหญ่ คร่อมสวนนี้อยู่ด้วยครับ


มองจากด้านนอกเข้าไป


เดินเลียบแม่น้ำไคลด์ กลับเข้าเมืองครับ


มายืนรอรถเมล์ตรงนี้

วีรกรรมของเรากับรถเมล์ ก็เกิดขึ้นครับ
คือเราซื้อตั๋ววันนั่งรถเมล์มา เราก็อยากจะใช้ให้คุ้มที่สุด ด้วยระยะทาง จากจุดในรูป ไปถึงในเมือง จริง ๆ ไม่ไกลมาก เดินสิบห้านาทีคงถึง แต่ด้วยความรู้สึกงก ส่วนบุคคลครับ
เลยรอรถเมล์ เห็นเขียนที่ป้ายว่า ไป City Centre ได้ เลยรออยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง
ขึ้นรถด้วยความมั่นใจ… รถวิ่งออกนอกเมืองไปเรื่อย ๆ ก็ยังใจชื้นอยู่ว่า เดี๋ยวคงวนกลับ คงเหมือนเคมบริดจ์ ที่วิ่งเป็นลูป คงไม่นาน
แต่นั่งไปเรื่อย ๆ เอ ทำไมมันไม่มีทีท่าจะวกกลับเลยวะ ลองถามคนที่นั่งข้างหลัง เค้าก็บอกอย่างชัดเจนเลยว่า “You’re on the wrong bus” เราก็ถามว่า แล้วไม่วนกลับไป City Centre เหรอ
เค้าบอกว่า วนเหมือนกัน แต่นานนะ ให้ลงป้ายหน้า แล้วหารถอีกฝั่งกลับดีกว่า…

ทำอย่างที่เค้าว่าครับ
การเดินทางเข้าเมืองโดยรถเมล์ของเรา ใช้เวลาชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ นั่งรถเมล์จนคุ้มจริง ๆ

ซื้อของที่จะเอาไปอุ่นไมโครเวฟ จากซุปเปอร์มาร์เก็ต ซื้อกล้วย ซื้ออาหารที่จะกินพรุ่งนี้ด้วย

มื้อเย็นครับ Cornish Pasty เป็นเนื้อวัวอบซอสเกรวี่ในแป้งพาย กินกับสลัด ครับ

ที่ครัวเค้าจะมีช่องให้เก็บอาหาร เขียนชื่อไว้ ไม่มีขโมยตลอดเวลาที่เราอยู่ครับ จริง ๆ จะทำอาหารให้มันหรู ๆ ก็มีเตาให้ แต่เราก็ขี้เกียจครับ กินคนเดียว และไม่อยากซื้อเครื่องปรุงอะไรให้หนัก จริง ๆ คือคงไม่อร่อยด้วย
กลัวทำกินเองแล้วท้องเสีย (มันคงไม่แย่ขนาดนั้นมั้ง) ด้วยข้ออ้างทั้งหลาย เลยซื้อแบบที่อุ่นไมโครเวฟอย่างเดียวครับ

คืนนี้ ได้คุยกับ คนที่นอนห้องเรา

มีผู้ชายเยอรมันมาใหม่คนนึง มากับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน เค้ามาเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาลัยในอังกฤษ แล้วจะกลับประเทศแล้ว ก่อนกลับเลยเที่ยวทั่วประเทศ แต่หยุดที่ละคืน สองคืนเท่านั้น ตอนที่เค้าเข้ามาโฮสเทล ก็ค่ำแล้ว บอกว่าเพิ่งนั่งเรือ เฟอร์รี่มาจากไอร์แลนด์ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า ก็ออกอีก “เวลาไปแวะเมืองที่ผ่าน ๆ มา ก็คิดว่า ต้องกลับมาเที่ยวอีก ที่ละคืนสองคืน ไม่พอจริง ๆ” เค้าว่าอย่างนั้น

คนออสเตรเลีย ผู้ชาย อายุน้อยกว่าเราประมาณปีนึง แบกเป้มาเที่ยวคนเดียว ได้หลายอาทิตย์แล้ว คนนี้ที่นอนเตียงล่างเรา เค้าบอกว่า มาเยี่ยมญาติ ที่อยู่ที่อังกฤษด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะไปต่อแล้ว
มาเที่ยวตอนปิดเทอม ก่อนจะกลับไปเรียนต่อมหาลัย ที่ออสเตรเลีย

คนออสเตรีย ที่เป็นใบ้ครับ คนนี้เราได้คุยเยอะหน่อย การคุยใช้ภาษามือแบบงู ๆ ปลา ๆ ของเรา กับการเขียน แต่เค้าใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่อง แต่ก็พอจะได้ความว่า เค้ามาร่วมกิจกรรมสมาคมคนหูหนวก ที่นี่ และเค้าก็จะอยู่ต่ออีกวันสองวัน จากกำหนดเดิม เพราะจะไปเที่ยว Loch Ness ซึ่งเป็นทะเลสาบ อยู่ในสก๊อตแลนด์ เราบอกเค้าว่า ที่เมืองไทย มีคอนเสิร์ตสำหรับคนหูหนวกด้วยนะ เค้าก็บอกว่า อื้ม ที่ออสเตรียก็มี
เป็นครั้งแรกที่ได้คุยกับคนที่เค้าเป็นใบ้แบบใกล้ชิดขนาดนี้ ทำให้ได้คิดว่า ขนาดเค้าเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ ยังพยายามสู้ ยังใช้ชีวิตที่เหมือนกับคนปกติได้ แล้วคนปกติ ที่มีครบสามสิบสอง หลาย ๆ คน จะไม่คิดสู้บ้างเลยหรือ…

คนที่ขาดอะไรบางอย่าง กลับมีบางอย่างที่แข็งแรง และมากกว่าคนปกติ… ใจ และกำลังใจ ครับ

วันต่อมา จะไปอะเบอร์ดีน
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ…

 

ป้ายกำกับ: , ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๖

เช้าวันใหม่ เริ่มต้นขึ้นที่กลาสโกว์ หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืน อย่างเต็มที่
ลงมากินอาหารเช้าที่ครัว อาหารเช้าของเรา เป็น shortbread คล้าย ๆ คุกกี้เนยสด กับช็อคโกแลตร้อน พร้อมด้วยกล้วยอีก ๑ ลูก
ประหยัด และอิ่มดีจริง ๆ

ประมาณ เก้าโมงกว่า ๆ ก็ออกไปที่ Kelvingrove Museum ครับ


ทางไป พิพิธภัณฑ์ ผ่าน สวน Kelvingrove มีแม่คะนิ้งเต็มเลย อากาศยังหนาวอยู่มาก น่าจะไม่เกินสามองศาครับตอนเช้าแบบนี้ (หน้าหนาว พระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าหน้าร้อนด้วยนะ)


แม่น้ำ Kelvin ผ่านสวน Kelvingrove ไหลเรื่อย ๆ


พิพิธภัณฑ์ Kelvingrove Museum and Arts Gallery ครับ อันนี้ถ่ายจากด้านหลัง


ดูด้านหน้ากันซักหน่อย

พิพิธภัณฑ์นี้ เราชอบมาก เพราะการบอกเล่าเรื่องราวของเค้า ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เป็นมิตรกับผู้เข้าชม และในส่วนของ Arts Gallery ก็มีคำบรรยายบอกความสำคัญ บอกวิธีการดู
ทำให้พิพิธภัณฑ์นี้แตกต่างจาก Gallery ที่อื่น ที่มีรูปภาพ แล้วก็มีแค่ชื่อผลงานและศิลปิน ทำให้คนที่ไม่ลึกซึ้งกับศิลปะอย่างเรา ไม่อาจเข้าถึงได้

จากพิพิธภัณฑ์ ทำให้เราได้รู้ว่า กลาสโกว์ เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชนชาติมาก มีคนแขก ที่มาจากอินเดีย ปากีสถาน มีคนจีน (อยู่ทุกที่อยู่แล้ว) มีคนไอริช ที่หลบหนี ความขัดแย้งทางศาสนา
กลาสโกว์ เป็นศูนย์รวมได้ เราคิดว่าเป็นเพราะ กลาสโกว์เป็นเมืองอุตสาหกรรม มีงานให้คนที่อพยพย้ายถิ่นทำ กลาสโกว์เป็นเมืองใหญ่ใกล้ปากอ่าว ง่ายต่อการเข้าถึงจากเกาะไอร์แลนด์ แล้วเหตุผลส่วนตัวอีกอย่างหนึ่งคือ คนสก๊อตคงมีพื้นฐานเป็นคนใจกว้าง เปิดรับความแตกต่าง ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติครับ

สำหรับนักคิด นักประดิษฐ์คนสำคัญของกลาสโกว์คือ เจมส์ วัตต์ ผู้ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำ นั่นเองครับ

ต่อกันที่พิพิธภัณฑ์การขนส่ง Museum of Transport ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน แค่สองสามช่วงตึก
ที่นี่ อีกไม่นาน เค้าจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ห้องจัดแสดงบางส่วนจึงถูกปิดเพื่อเตรียมย้ายไปบ้านใหม่ครับ


มีถนนจำลอง สมัยเจ็ดสิบแปดสิบปีก่อนให้ดูกันด้วย


นี่คือรถไฟใต้ดินกลาสโกว์สมัยก่อน จะเห็นประตูทางเข้า เป็นตะแกรงๆ  คล้าย ๆ ประตูลิฟต์เก่าๆ


ภายในตู้รถใต้ดินครับ


ส่วนบริเวณนี้ เป็นห้องจัดแสดงรถราง รถไฟ หัวรถจักร มากมาย เดินดูกันเพลินเลยทีเดียวครับ
รูปภาพประกอบที่มากกว่านี้ ไปดูกันได้ ที่นี่นะครับ
http://www.facebook.com/photo.php?pid=11319704&id=663380180&fbid=10150096275870181#!/album.php?aid=393639&id=663380180&page=1


อันนี้เป็นตู้รถไฟโดยสารรุ่นใหม่ Class 380 ที่จะนำมาใช้ทำขบวน ที่สก๊อตแลนด์
สิ่งที่เค้าค่อนข้างเน้น คือ การอำนวยความสะดวกคนพิการ และชั้นวางสัมภาระ ที่ปรับปรุงให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น


พิพิธภัณฑ์การขนส่งก็ต้องมีพาหนะอื่น ๆ เช่นจักรยานที่เราเคยเห็นแค่ในรูป แบบนี้เป็นต้นครับ ไม่รู้คนสมัยก่อนขี่กันได้ยังไง


แบบนี้ก็มี


แบบนี้คนนั่งคงจะสบายพิลึก


ส่วนนี่ คนเคยอ่านหรือดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ คงจะจำได้ รถฟอร์ด แองเกลีย ที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ ใช้บิน ไปโรงเรียนตอนอยู่ปีสองครับ

เสร็จจาก Museum of Transport แล้ว ก็ไปในเมืองต่อ

เรื่องราวในกลาสโกว์ยังไม่จบ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ…

 
 

ป้ายกำกับ: ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๕

ตอนที่ ๕ นี้ เริ่มต้นด้วยเช้าวันที่สามของการเดินทาง ที่สก๊อตแลนด์ ตื่นขึ้นมา มีเวลาครึ่งวันที่เอดินเบอระ
กะว่าจะเก็บของฝากโฮสเทลไว้แล้ว ไปนั่งรถทัวร์เมือง ให้คุ้มบัตรซะหน่อย (เพราะมันใช้ได้สองวัน) เสร็จแล้วก็มาเดินดู พิพิธภัณฑ์ใกล้ ๆ โฮสเทล พอใกล้เที่ยงก็กลับไปเอากระเป๋า แล้ว ไปสถานีรถไฟ

พอฝากกระเป๋าไว้ที่โฮสเทลแล้ว ล็อกกุญแจแล้ว ลืมเอากล้องถ่ายรูปออกมา ถ้าจะกลับไปเอาต้องเสียอีกปอนด์นึง (มันเป็นตู้ลอกเกอร์อัตโนมัติครับ)
เลยไม่เป็นไร ไม่ได้ถ่ายก็ไม่เป็นไร ไปนั่งรถชมเมืองอีกรอบ
ครบรอบหนึ่งแล้วก็เดินกลับขึ้นมา ที่ Royal Mile ระหว่างทาง ที่กำลังเดินขึ้นบันไดขึ้นเขามาจาก New Town ก็เจอผู้ชายสก๊อตคนหนึ่ง อายุราว ๆ สามสิบกว่า ๆ
เดินมาด้วย แล้วเค้าก็คุย ๆ ถาม ๆ ว่ามาจากที่ไหนอย่างไร แล้วก็แยกกันไป แต่บังเอิญว่า เราต้องไปทางเดียวกับเค้า เพื่อจะไป พิพิธภัณฑ์ เลยเจอกันอีกรอบ
คนนี้ท่าทางแปลก ๆ เรารู้สึกเหมือนเค้าจงใจจะตามเรา พอถามว่า วันนี้จะไปทำงานเหรอ เลยเดินมาทางนี้ เค้าบอก “เปล่า ๆ ไม่ได้ทำงาน วันนี้ เดินเล่น สบาย ๆ”
เค้าตามเรามาถึง พิพิธภัณฑ์ ระหว่างทาง มือสองข้างเราก็ซุกกระเป๋าโค้ตอยู่ตลอด คลำกระเป๋าตังค์ และมือถือไปด้วย
พอถึงพิพิธภัณฑ์ เค้าก็ตามเข้ามาอีก แล้วบอก่า จะให้เบอร์ไว้ ให้เอามือถือเราออกมา
เราก็เห็นท่าไม่ดี เลยบอกไปว่า “เจอกันเท่านี้แหละ” แล้วเค้าก็เดินแยกไป
ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองรึเปล่า จริง ๆ แล้วเค้าอาจจะเป็นคนดีมากก็ได้ แต่ท่าทางเค้ามันแปลก ๆ เราก็เลยขอป้องกันไว้ก่อน

เลยเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ไม่สนุกเลย ต้องเอากระเป๋าออกมาดูว่าทุกอย่างยังอยู่ครบ ไม่มีอะไรขาด (และไม่มีอะไรเกินมาเพิ่ม)
เดินวนไปมา ไม่ได้ดูอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้ง ๆ ที่พิพิธภัณฑ์เค้าก็จัดดีมาก แล้วก็รีบไปเอากระเป๋าที่โฮสเทล ไปสถานีรถไฟเลย


จริง ๆ จองไว้รอบบ่ายโมงกว่า ๆ แต่ตั๋วไม่จำกัดเวลาเดินทาง เลยไปรอบที่เร็วที่สุด เพราะขี้เกียจรอครับ


คลาส ๑๗๐ ปลายทาง สถานี กลาสโกว์ ควีนสตรีท


เพียงชั่วเลื่อนเมาส์ เราก็มาถึงกลาสโกว์แล้ว นี่คือ สถานี Glasgow Queen Street ครับ
สำหรับที่กลาสโกว์นั้น จะมีสองสถานีหลัก ๆ คือ Glasgow Central กับ Glasgow Queen Street

 
สวน Kelvingrove ใกล้ ๆ โฮสเทลที่พักครับ

สำหรับโฮสเทลนั้น จัดว่าดีทีเดียวครับ อยู่บนเนิน ห่างจากตัวเมืองออกมาเล็กน้อย ต้องนั่งรถเมล์ออกมาประมาณ สิบห้านาที

เป็นของ Scottish Youth Hostel Association (SYHA) มาตรฐานดีเยี่ยมครับ


ห้องนั่งเล่นของโฮสเทล


เตียงบนอีกแล้วนะครับ เป็นห้องนอนชาย หกคน แต่ นอนกันจริง ๆ แค่ห้าคน
โฮสเทลที่นี่มีครัวให้ทำอาหารได้ด้วย ตอนเย็นเราเลยซื้อ กับข้าวอุ่นไมโครเวฟมา ประหยัดเงินในกระเป๋าได้เยอะเลยครับ

เก็บของ ปูเตียงเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมา เดินเล่น ที่ ริมแม่น้ำไคลด์ (Clyde)
ถ่ายรูปมาพอหอมปากหอมคอ


ตึกที่เห็นเหลี่ยม ๆ คือ ตึก BBC ครับ


ริมแม่น้ำไคลด์ยามเย็น ๆ

ตึกแถบนี้ เป็นย่านเมืองใหม่ของกลาสโกว์ครับ

เสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟชานเมือง ต่อไปในเมือง เดินเล่น จนเมื่อยขา แล้วก็นั่งรถเมล์กลับที่พัก
วันแรก ตอนกินข้าว ได้คุย กับผู้หญิงชาวอเมริกันคนหนึ่ง
เค้าเที่ยวคนเดียว มาได้หกเดือนแล้ว เป็น Graphic Designer เที่ยวไป ทำงานส่งไป ได้เงินเที่ยวต่อ
แนะนำให้เราอ่านหนังสือ วรรณกรรมท่องเที่ยวของ Paul Theroux ที่เขียนเรื่องนั่งรถไฟข้ามทวีป เพราะเห็นว่าเราชอบรถไฟมาก
พอดีเค้ามาจากอลาสกา เราก็เลยลองแย็บคำถาม ว่าเค้าคิดอย่างไรกับ ซาร่าห์ เพลิน อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คู่กับ จอห์น แมคเคน
เค้าบอกว่า “คงบอกไม่ได้ว่าคิดอย่างไรกับซาร่าห์ เพลิน แต่เค้าภูมิใจในตัวโอบามา มาก”

เพื่อนร่วมห้องของเราในคืนแรก เป็นน้องคนออสเตรเลีย, คนฝรั่งเศส ที่มากับแฟน (มั้ง), คนฝรั่งเศสที่มาคนเดียว และ คนออสเตรีย อีกหนึ่งคน ที่พูดไม่ได้
ในคืนแรก เราได้คุยกับพี่ฝรั่งเศสที่มาคนเดียว และได้สื่อสาร กับคนออสเตรีย ที่พูดไม่ได้ อยู่พักหนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัส กับคนที่เค้าพูดไม่ได้ และรู้สึกนับถือ ที่เค้าและอีกหลาย ๆ คน สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติทุกอย่าง

ในคืนแรก ก็นอนหลับสบายดี คงเพราะเหนื่อยมากด้วย หลับตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า
เรื่องประทับใจ ทั้งในและนอกโฮสเทลยังมีอีก

แล้วติดตามตอนต่อไปนะครับ…

 
 

ป้ายกำกับ: , ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๔

ตอนที่แล้ว ไปชมเรือพระที่นั่ง Royal Britannia กันมาแล้ว

เสร็จจากตรงนั้น เราก็นั่งรถเข้าเมืองมา มาถึงที่หน้าสถานีรถไฟตอนประมาณสามโมงครึ่ง เดินขึ้นเนิน รีบไปปราสาทเอดินเบอระ
ก่อนจะปิด อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีฝนตกพรำ ๆ ด้วย
คนยังเข้ามาอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว


จากปราสาท มองลงมาเห็นฝั่งเมืองใหม่ สวน และทางรถไฟ

เมืองใหม่นี่ ไม่แน่ใจว่าได้เล่าไปหรือยัง เป็นเมืองที่สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนี่เอง เมืองจะเป็นบล็อก ๆ เป็นระเบียบ ส่วนเมืองเก่าคือเมืองที่อยู่ฝั่งปราสาท สองเมืองนี้คั่นด้วยสวน อย่างที่เห็นในรูป และทางรถไฟ ทำให้เมืองเอดินเบอระ มีเสน่ห์สุด ๆ เลย


พอเข้าประตูปราสาทมา ก็พบคนเยอะมาก ไม่หวั่นแม้ฝนตก (ปรอยๆ)


วิวอีกด้านหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าด้านไหน) เห็นตึกใหม่ ๆ อยู่บ้าง และมีส่วนที่กำลังก่อสร้างอยู่อีก ไกล ออกไป


ในบริเวณปราสาท ก็จะมีพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ หลายๆ  แห่ง เปิดให้เข้าไปชม
ที่ชาวสก๊อตภูมิใจมาก เห็นจะเป็นเรื่องของการทหาร เค้าว่า ทหารสก๊อต แกร่ง และมีเลือดนักสู้มาแต่เดิม
เรื่องราวและสิ่งของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ คงจะเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี


ส่วนหนึ่งของอาคารด้านในปราสาท


ถ่ายจาก ท้องพระโรง


มองไปให้ไกล ๆ จะเห็นปากอ่าวเอดินเบอระ และทะเลครับ

ภาพที่ปราสาทเอดินเบอระ มีไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนหนึ่ง รู้สึกว่าเค้าจะไม่ให้ถ่ายด้วย อีกอย่างคือ วันนี้เดินเยอะเหลือเกิน เพลียมาก
เลยไม่ค่อยกระตือรือร้นเหมือนตอนเช้า
กลับเข้าที่พัก ตอนหกโมงเย็น ก่อนกลับก็แวะซื้อ subway (เป็นแซนด์วิชร้อน ๆ) เป็นอาหารเย็น พร้อมกล้วย และ shortbread (คุ้กกี้เนยเข้มข้น) มาไว้กินตอนเช้าด้วย พอเข้ามาในโฮสเทลปุ๊บ ก็รู้สึกอบอุ่น และเริ่มหายเหนื่อย
นั่งเล่นอยู่ที่ chill-out room สักพัก ก็มี คนพม่า และเพื่อนเค้าที่มาจากแคนาดามาคุยด้วย ชวนดูวีดีโอที่เค้าไปยืมมาจากข้างล่าง ดูไปจนถึงสองทุ่มครึ่ง สองคนนั้นก็ออกไป Ghost Tour จากที่ถาม ก็ได้ความว่าเป็น ทัวร์เดียวกับที่เราไปมา ของเราไปรอบห้าโมง ของเค้าไปรอบสามทุ่ม พอสองคนนี้ออกไป ก็มีกลุ่มนักเรียนภาษาที่เราคุยด้วยเมื่อวาน เข้ามา นั่งคุยกันต่อ

จากการคุยกัน ทำให้รู้ว่า ฝรั่ง (คนสเปน) มองการกินน้ำร้อน เป็นเรื่องแปลก !
เค้าบอกว่า สำหรับเค้า ถ้าจะกินน้ำร้อน ต้องกินกับชา กาแฟ หรือเครื่องชงอื่น ๆ ไม่ใช่กินเปล่า ๆ แบบที่เราและคนญี่ปุ่นอีกคนกิน

จากการคุยกันไปเรื่อย ๆ เค้าก็ชวนเล่นไพ่ เราก็บอกว่า เราเล่นอะไรที่ต้องใช้สมองซับซ้อน ๆ ไม่เป็นหรอกนะ
ชาวสเปนบอกว่า “โอ๊ย อันนี้เล่นง่าย เดี๋ยวเค้าบอกกติกาให้”
ไพ่เกมนี้ เหมือนกับ เกมที่บ้านเราเล่นกัน น่าจะเรียกว่า “โปลิศจับขโมย” รึเปล่านะ ที่มีผู้ดำเนินรายการคนนึง ให้ทุกคนหลับตา มีโจร มีเหยื่อ…
แต่แบบสเปน ซับซ้อนกว่าตรงที่มีตัวละครยุ่บยั่บ จำแทบไม่ไหว มีทั้ง “หนูน้อย Little Girl” “แม่มด”
แต่ก็สนุกสนานเฮฮาดี

ประมาณห้าทุ่ม… เจ้าหน้าที่โฮสเทล เห็นคนเยอะ ๆ อยู่ใน Chill Out Room ก็เอา วีดีโอเรื่อง Braveheart มาเปิดให้ดู
คนสเปนส่วนใหญ่จะออกไปผับไปเที่ยวกลางคืนกันละ เหลือเฮียเกาหลี (เรียกเค้าเฮีย จริง ๆ เค้าแก่กว่าเราปีสองปีนี่แหละ ไม่เป็นไร ให้เกียรติ ๆ) กับคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มนักเรียนภาษา อ้อ คนพม่ากับแคนาดา ก็กลับมาจาก Ghost Tour แล้ว… นั่งดูไปครึ่งชั่วโมง
เราขอตัวมานอน หญิงสาวฝรั่งเศสร่วมห้อง เข้านอนกันแล้ว เราก็ไม่ได้อาบน้ำละ แปรงฟัน ล้างหน้า เปลี่ยนชุด
แล้วก็ซุกตัวเข้าไปนอนเลย…(ขออภัยในความซกมก เด็กอายุต่ำกว่า สิบสอง ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

แล้วติดตามตอนต่อไปนะครับ จะมุ่งหน้าสู่กลาสโกว์แล้ว…

 
 

ป้ายกำกับ: ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๓

คราวที่แล้วเกริ่นไว้ว่าที่ต่อไปคือเรือพระที่นั่ง Royal Yacht Britannia

เรือนี้ปลดประจำการแล้ว จอดอยู่ที่อ่าวเอดินเบอระ ต้องนั่งรถบัสทัวร์ (ที่รวมอยู่ในตั๋ว) ออกไปอีกประมาณยี่สิบนาที
นั่งออกไปแล้ว ก็จะเจอห้างที่เรียกว่า Ocean Terminal ทางขึ้นเรือ เชื่อมกับห้างครับ


ป้ายนิทรรศการก่อนเข้าเรือครับ


ทางขึ้นเรือ อยู่ชั้นสองหรือชั้นสามของห้างนี่แหละ


นี่เป็นห้องบังคับเรือครับ ถ้ามองดีดีจะเห็นคนถือหูโทรศัพท์อยู่ข้างนอก อันนั้นคือ audio guide ที่เคยเล่าให้ฟังครับ
ที่นี่จะไม่ค่อยมีไกด์ที่เป็นคนจริง ๆ ส่วนใหญ่จะอัดเสียงเอาไว้ ให้เดินกดฟังเอา แต่ละห้องก็จะมีหมายเลขบอก กดตามนั้น เสียงบรรยายก็จะออกมา


วันนี้ฝนตกพรำ ๆ มองออกไป เห็นอาคารที่อยู่อาศัย เริ่มผุดขึ้น บริเวณนี้คือทางตอนเหนือของเอดินเบอระ ครับ


มาที่นี่จริง ๆ นะ ถ่ายมาเป็นหลักฐาน


ห้องทำงานของผู้บังคับการเรือ


นี่เป็นส่วนของห้องนอนครับ เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้ละ ก็ดูอยู่สบายดี แต่ผู้บังคับการเรือ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ความปลอดภัย ของสมเด็จพระราชินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ บนเรือลำนี้ครับ เป็นงานที่หนักเอาการทีเดียว ถึงแม้จะเป็นหัวหน้า มีอำนาจควบคุมลูกน้องหลายร้อย แต่ “อำนาจ มาพร้อมความรับผิดชอบ” เราเชื่ออย่างนั้น


รถโรลซ์รอยซ์ พระที่นั่ง เนื่องจากเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าไปจอดตามที่ต่าง ๆ แล้วจะมีรถพระที่นั่งดีดีมั้ย เลยต้องเตรียมไปด้วยเลยครับ


ห้องบรรทม สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ ๒ ไม่ได้บรรทมห้องเดียวกับเจ้าชายฟิลลิปนะครับ เตียงนี่เป็นเตียงที่สั่งทำพิเศษ ให้เหมาะกับพระสรีระ ของสมเด็จพระราชินี ลายของผ้าปูเตียง ก็เป็นลายที่ทรงโปรดเช่นกัน


ส่วนห้องนี้เป็นห้องบรรทมของเจ้าชายฟิลลิป พระสวามี ในสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธครับ


ห้องทานข้าวของลูกเรือชั้นผู้ใหญ่


ห้องเสวย เค้าว่าเป็นห้องที่หรูที่สุดในเรือลำนี้ จะเห็นป้ายบอกหมายเลข สำหรับกดใน audio guide ครับ
ถ้าสังเกตดีดี ไกล ๆ นู่นจะเห็นตู้ที่มีหลังคาทรงไทย เล็ก ๆ ติดอยู่ที่ผนัง สิ่งนั้นคือของที่ระลึกจากประเทศไทยของเรานั่นเอง เสียดายที่เข้าไปถ่ายใกล้ ๆ ไม่ได้ ดูภาพซูมที่ไม่ค่อยชัดด้านล่างนี่ไปก่อนละกัน


เป็นความภูมิใจเล็ก ๆ ของเด็กไทยตัวน้อยๆ  ในประเทศนี้ครับ


ห้องทรงงานของสมเด็จพระราชินีครับ


ห้องทรงพระสำราญ (ไม่รู้ใช้ถูกไหม สำหรับคำว่า “ห้องนั่งเล่น”)


จากไกด์เสียงของเรา ได้ความว่า สมเด็จพระราชินี ไม่ทรงโปรดอะไรที่เป็นทางการมาก ห้องนี้เลยจัดเป็นแบบเรียบง่าย ลวดลายเป็นแบบชาวบ้านธรรมดาทั่วไป


ถ่ายจากด้านข้างเรือ เห็นเรือชูชีพด้วย


อันนี้เป็นห้องพักผ่อนของลูกเรือครับ


เคบินลูกเรือ


อันนี้เป็นห้องนอนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงขึ้นมาหน่อย


มีห้องผ่าตัดพร้อมเลย


ห้องซักอบรีด เหมือนโรงงานเลย มีเสื้อผ้าผ่านห้องนี้วันละเยอะมาก สมัยที่เรือยังประจำการอยู่ เพราะลูกเรือเองก็ต้องเปลี่ยนชุดกันวันละหลายชุด


อุปกรณ์พร้อมเลย


นี่เป็นเรือเล็กพระที่นั่ง เวลาขึ้นฝั่ง เรือใหญ่บางทีจะจอดติดฝั่งไม่ได้เพราะน้ำตื้นเกิน ต้องใช้เรือเล็กนี่แหละครับ


ห้องเครื่องยนต์ด้านล่างครับ

ตอนที่สามนี้ เน้นรูปครับ ส่วนตอนหน้า จะพาไป ปราสาทเอดินเบอระ กันครับ
แล้วค่อยมาฟังเรื่องเล่าเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย จากการเที่ยวที่เมืองเอดินเบอระต่อ

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ…

 
 

ป้ายกำกับ: , ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๒

ตอนที่สองมาแล้ววว

ห้องนอนหนาวมาก เราใส่เสื้อนอนสามชั้น และห่มผ้าห่ม ยังอดรู้สึกหนาวไม่ได้ ตอนตื่นนี่แทบไม่อยากลุกเลย
คงเคยชินกับห้องที่หอ (ห้องเราคงร้อนที่สุดในหอแล้วมั้ง) ฮีตเตอร์เปิดที่อุณหภูมิสามสิบองศา (จริง ๆ มันคงไม่ถึงสามสิบหรอก ซักยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดนี่แหละ)
พอไปอยู่ห้องข้างนอก เลยรู้สึกหนาวเลย

วันนี้เป็นวันที่เราจะลุยเที่ยว ในเอดินเบอระ เพราะพรุ่งนี้ ก็ต้องออกเดินทางไปกลาสโกว์แล้ว
อาหารเช้าที่โฮสเทล จ่ายเงินเพิ่มแค่ สองปอนด์เท่านั้น (ถูกมากสำหรับที่นี่) เราก็เลยลองจ่ายไป
แต่ไม่ใช่อาหารเช้าบุฟเฟต์แบบที่เราเห็นกันที่เมืองไทยนะ
อาหารเช้าที่นี่เค้ามีสองแบบ English Breakfast กับ Continental Breakfast
ถ้าแบบอังกฤษ ก็จะมี ไข่ ครัวซองต์ ถั่วต้มซอสมะเขือเทศ เบคอน และเห็ดต้ม(อาจจะแตกต่างเล็กน้อยแล้วแต่ที่)
ส่วนแบบ Continental ก็จะมีแค่ซีเรียล ขนมปัง และแยม

ที่โฮสเทล เป็นแบบ คอนติเนนตัลครับ
ส่วนตัวแล้วเราชอบแบบ อังกฤษมากกว่า อิ่มดี แล้วที่โฮสเทลก็ไม่ค่อยมีซีเรียลให้เลือกด้วย
กินครัวซองต์ ชา ซีเรียล น้ำส้ม แล้วก็ออกจากโฮสเทลตั้งแต่เก้าโมงกว่า ๆ หวังว่า รีบออกจะได้เที่ยวเต็มที่ ตรงไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อขอคำแนะนำว่าจะซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ อย่างไรให้คุ้ม
…แต่ ลืมนึกไปว่าเป็นวันอาทิตย์ สถานที่ต่าง ๆ มักเปิดสายกว่าปกติ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก็เช่นกัน เปิดสิบโมง เราไปยืนรอประมาณสิบห้านาที ก็เปิด…

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเอดินเบอระ

เราเลือกซื้อตั๋วที่รวมค่าเข้าชม สถานที่สำคัญสามแห่ง คือ Edinburgh Castle, Holyrood Palace, และ The Royal Yacht Britannia
แต่ละที่ เดี๋ยวจะบอกเล่าให้ฟังกันทีละอันนะ ตั๋วนี้รวมรถบัสท่องเที่ยว รอบเมือง ขึ้นลงได้ตลอดวัน มีสามบริษัท ขึ้นได้หมดทุกคัน ก็เลยคิดว่าน่าจะคุ้มดี
ราคานักเรียน สามสิบสองปอนด์ถ้วน

พร้อมแล้ว ก็ไปขึ้นรถบัสนำเที่ยวสีแดง ไป Holyrood Palace ทางตะวันออกของเมืองกันก่อนเลยครับ


สะพาน Waverley Bridge ทางขวา มีทางขึ้นมาจากสถานีรถไฟ ทางซ้ายที่มีรถบัสจอดอยู่ ก็คือรถบัสนำเที่ยวนั่นแหละ ในรูปนี้ถ่ายตอนเช้าเก้าโมงกว่า ไม่ค่อยมีคน สายหน่อย เดี๋ยวคนก็จะมากันเยอะเอง


ถ่ายจากบนรถบัสนำเที่ยว เห็นหน้าตาของผับ และตู้โทรศัพท์…


ถึงแล้ว พระราชวัง Holyrood House Palace ที่นี่เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักร ท่านจะเสด็จมาประทับที่นี่ ตอนหน้าร้อน
ถ้ามาช่วงที่ท่านประทับ ก็จะไม่ได้เข้าชมครับ


จากในเขตวัง มองเห็น Arthur’s Seat อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล


ประตูวังครับ ข้างในห้ามถ่ายรูป

สำหรับพระราชวังนี้ มีไกด์ ที่มาในรูปของอุปกรณ์คล้าย ๆ โทรศัพท์ กดหมายเลขแล้วก็จะมีเสียงบอกเล่าเรื่องราว แต่ละห้อง เดินตามคำบอกในโทรศัพท์น้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ
เป็นวิธีที่ดี ไม่ต้องใช้ไกด์ที่เป็นคนจริง ๆ แต่ก็อาจจะเสียอรรธรสในการมาเที่ยวชม เพราะเหมือนต่างคนต่างฟังเอ็มพีสามส่วนตัว ฟังเสร็จ ก็เดินต่อ ต่างคนก็ต่างเดิน
ห้องต่าง ๆ ในพระราชวังมีทั้งห้องบรรทม ห้องแสดงภาพเขียนของกษัตริย์สก๊อตแลนด์ในอดีต ได้ทั้งความรู้ และความสนุกตื่นเต้น ไปในเวลาเดียวกันครับ


ซากมหาวิหาร สมัยโบราณ ด้านข้างวัง คาดว่าเมื่อก่อนคงจะสวยงามมาก ๆ แน่ ๆ


ทางเข้าออกพระราชวัง

เสร็จจากที่ Holyrood House ก็จะไปกันต่อ ที่เรือพระที่นั่ง Royal Yacht Britannia ซึ่งปลดประจำการไปแล้ว
 ขอติดไว้ ตอนต่อไปนะคร้าบบ…

โปรดติดตามตอนต่อไป…

 
 

ป้ายกำกับ: , ,

สก๊อตทริป ตอนที่ ๑

ได้เวลามาอัพเรื่องราว ที่เราเก็บกระเป๋าไปเที่ยวสก๊อตแลนด์ กันแล้ว

เนื่องจากไปหลายที่ เนื้อหาคงค่อนข้างยาว ขอแบ่งเป็นตอน ๆ ละกันครับ

เราเกิดความคิดที่จะไปเที่ยวช่วงฮาล์ฟเทอม ที่โรงเรียนจะปิดหนึ่งอาทิตย์นิด ๆ (ประมาณ ๙ วัน) ได้ประมาณหนึ่งเดือนกว่า ๆ ก่อนหน้า
เมื่อสอบเดือนมกราเสร็จ ก็เริ่มจองตั๋วรถไฟ และโฮสเทล ด้วยราคาตั๋วรถไฟที่จองล่วงหน้า คืนไม่ได้ เราคิดในใจว่า “ยกเลิกทริปไม่ได้แล้วนะ จ่ายเงินไปเยอะแล้ว”

ค่าโรงแรมปกติที่อังกฤษ แพงมาก ๆ เลยเลือกพักที่ โฮสเทล ที่พักเป็นแบบ หอพัก มีหลายเตียง ถ้าห้องที่เตียงน้อยกว่า ราคาต่อหัวก็จะแพงกว่า ไม่รวมอาหารเช้า โดยเฉลี่ยตกคืนละประมาณ ๑๓-๑๕ ปอนด์ หรือประมาณ ๖๐๐-๗๕๐ บาท (เสาร์อาทิตย์ราคาก็จะแพงขึ้นอีก)

แผนการเดินทาง คือ ออกจากเคมบริดจ์ เช้าวันเสาร์ที่ ๑๓ กุมภา ๒๕๕๓ ไปเอดินเบอระ เมืองหลวงของสก๊อตแลนด์ นอนสองคืน
วันจันทร์ที่ ๑๕ จากเอดินเบอระ ไปกลาสโกว์ ค้างสองคืน
วันพุธที่ ๑๗ ไปเมืองอะเบอร์ดีน นอนหนึ่งคืน
วันพฤหัสที่ ๑๘ ไปดันดี นอนสองคืน
วันเสาร์ที่ ๒๐ จากดันดี กลับมาที่เอดินเบอระ นอนค้างหนึ่งคืนที่วัดไทย และวันอาทิตย์ที่ ๒๑ ก็เดินทางกลับจากเอดินเบอระ มาเคมบริดจ์

เตรียมพร้อมออกเดินทาง เช้าวันเสาร์ที่ ๑๓


ต้องขึ้นรถไฟ Cross Country ไปเปลี่ยนอีกขบวนที่เมือง Peterborough (พีเทอร์โบร่า)


ภายในรถ East Coast จาก Peterborough ไป Edinburgh รถหรูทีเดียว ที่วางของด้านบน ใส่กระเป๋าเดินทางเราได้พอดีเลย


เริ่มออกท้องทุ่ง อากาศแจ่มใสทีเดียววันนี้


ระหว่างทางเจอซากปรักหักพังของปราสาทด้วย ตอนนี้ น่าจะอยู่ใกล้ ๆ สก๊อตแลนด์แล้ว


ที่นั่งและเป้…


ที่โค้ง ๆ ทางขวาคือประตูห้องน้ำ เดินตรงไปก็จะเป็นประตูออกรถไฟ

รถไฟมาถึงประมาณบ่ายสอง เมืองเอดินเบอระ เป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองได้สวยมาก
จะมีเขตเมืองเก่า Old Town และเขตเมืองใหม่ New Town โอลด์ทาวน์จะอยู่บนเนินเขา ส่วนนิวทาวน์จะอยู่ด้านล่าง คั่นด้วยสวน Princes’ Park และทางรถไฟ ถนน High Street กลางเมืองเก่า มีชื่อเรียกว่า The Royal Mile เพราะว่าถนนนี้เชื่อมระหว่าง ปราสาทเอดินเบอระ บนเนินเขา และพระราชวัง Holyrood Palace ที่อยู่อีกด้านตะวันออก ระยะทาง ประมาณหนึ่งไมล์

เมื่อออกจากสถานีรถไฟแล้ว เราก็หาทางไปโฮสเทล ที่อยู่ทางฝั่งเมืองเก่า

คนเป่าปี่สก๊อต ที่ Royal Mile

โฮสเทลเราชื่อ Budget Backpackers ตั้งอยู่หัวถนน Cowgate ห่างจาก Royal Mile นิดเดียวเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ที่โฮสเทลเตือนว่าตอนกลางคืนจะมีคนเมาเยอะ ให้บัตรผ่าน (เป็นกระดาษ) เพื่อยืนยันว่าเราเป็นแขกที่นี่ เวลาเข้าประตูมา เค้าจะได้เปิดประตูให้เราเข้าไปข้างในได้ เวลาจะเข้าห้องนอน มีคีย์การ์ดให้ เราจองแบบสี่เตียง ไม่รู้อีกสามคนเป็นใคร


นี่คือสภาพเตียงตอนเราปูผ้าปูที่นอน และผ้าห่มแล้ว เราอยู่เตียงบนครับ


ห้องนั่งเล่นที่โฮสเทล ชื่อว่า Chill out room

เก็บของเสร็จก็เดินออกไปเที่ยวเล่น นัดเพื่อนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระไว้ตอนเย็น
เลยไปเดินฆ่าเวลาก่อน


อันนี้ทางตะวันออกของเมือง มองเห็นเขา ที่ชื่อว่า Arthur’s Seat อยู่ไกล ๆ มีคนเดินขึ้นไปเต็มเลย


แถว ๆ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา Dynamic Earth มองเห็นทางเดินขึ้น Arthur’s Seat ด้วย


ผ่าน Scottish Parliament ที่อยู่บริเวณเดียวกัน แต่ไม่ได้เข้าไป เพราะไปถึงสี่โมง เค้าปิดแล้ว
สภาสก๊อตแลนด์เป็นสภาบริหารงานท้องถิ่นของสก๊อตแลนด์ ซึ่งมีอำนาจ ค่อนข้างเยอะในส่วนของท้องถิ่น
คนสก๊อตบางส่วน มีความต้องการจะแยกตัวออกจากสหราชอาณาจักร หลาย ๆ คน เห็นว่า การที่ส่วนกลางให้อำนาจสก๊อตแลนด์ผ่านสภาสก๊อต และฝ่ายบริหารของสก๊อตแลนด์ มาก ๆ จะทำให้โอกาสการแยกตัวออกไปมีมากขึ้นตามไปด้วย

ตัวอักษรข้างล่าง เป็นภาษา เกลิค Gaelic ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น ก่อนที่แองโกล-แซกซอนจะเข้ามาที่เกาะบริเตนใหญ่และพัฒนาภาษาอังกฤษขึ้นมา


เก่าใหม่ผสมกลมกลืน
ที่เห็นปราสาทไกล ๆ คือ Carlton Hill เป็นเขาอีกลูกหนึ่ง ส่วนตึกใหม่ ๆ ข้างล่าง เป็นส่วนราชการ ฝ่ายบริหาร ของสก๊อตแลนด์


The Royal Mile มีร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด


วิหารตั้งอยู่กลาง Royal Mile

ยังมีเวลาเหลือ เราก็เลยเดินขึ้นไปบนเนินที่ตั้งของปราสาทเอดินเบอระ แต่ไม่ได้เข้า เพราะเค้าจะปิดแล้ว
เราก็เลยได้ถ่ายรูปเมือง จากบนเนินเขาลงมา


เข้าใจว่านี่คือฝั่งตะวันตก ของเอดินเบอระ


หน้าปราสาทเอดินเบอระ ยามเย็น ๆ

ตอนห้าโมงไปเข้าร่วม Ghost Tour ที่เอดินเบอระด้วย อันนี้เค้าโฆษณาว่าฟรี แต่ก็สามารถบริจาคได้ตอนจบ

นี่คุณลุงที่แต่งตัวมาเป็นไกด์ Ghost Tour ยามเย็น

เวลายังเหลืออีก เราเลยกลับไปพักที่ Hostel เพราะนัดเพื่อนไว้ตอนหกโมงครึ่ง
ทางเดินไป Hostel ก็เป็นเนินขึ้นลงเขา วันแรกก็รู้สึกขาล้าแล้ว

กินข้าวกับเพื่อน เสร็จตอนสองทุ่ม เดินกลับโฮสเทลแล้วก็ไปนั่งพักที่ Chill Out Room เดินเข้าไปก็เห็นคนกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ก่อน
เค้าทักมา เราก็ทักตอบ ถามไถ่กันไปมา ได้ความว่า พวกเค้าเป็นนักเรียนภาษา เรียนอยู่ที่เมือง Eastbourne แถว ๆ Kent
ส่วนใหญ่เป็นคนสเปน มีคนเกาหลีหนึ่งคน คนญี่ปุ่นหนึ่ง คนซีเรียอีกหนึ่ง ได้นั่งคุยกัน พักใหญ่ ๆ พวกเค้าก็จะออกไปเที่ยวข้างนอกกัน ส่วนเราขอตัว เพราะเหนื่อยแล้ว
ซักสามทุ่มกว่า ก็อาบน้ำ ก่อนจะเข้านอน ก็ได้เจอเพื่อนร่วมห้อง เป็นสาวฝรั่งเศสสามคนเลย
รู้สึกเกรงใจอยู่เหมือนกันที่เป็นผู้ชายคนเดียวมาพัก
คุยกันสักพัก เราก็ขอขึ้นไปนอนก่อน สี่ทุ่มกว่า เดินทางทั้งวัน เพลียแล้วเหมือนกัน

ตอนแรกรู้สึกกังวลอยู่มากทีเดียวว่ามาพักที่โฮสเทลจะเป็นยังไง จะเหงามั้ย จะมีคนคุยด้วยรึเปล่า เพื่อนร่วมห้องเป็นไง เกรงใจกันมั้ย แต่การได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ ในที่ใหม่ ๆ นี้ ก็รู้สึกคลายความกังวลต่าง ๆ ที่พกมาด้วย อย่างน้อยก็สบายใจไปก่อนสองคืน พอเปลี่ยนที่ค่อยลุ้นใหม่

ติดตามตอนต่อไปนะครับ…

 
 

ป้ายกำกับ: , , , ,